Cafe Reverie ฝันกลางวันอันหวานชื่น รื่นรมณ์ขนมหวานในนิทาน
มีใครเคยฝันกลางวันบ้างคะ อยากจะบอกว่า เรามักจะฝันตอนกลางคืนตลอดเลย 55 ไม่ขำเหรอ
วันนี้เราจะชวนมาฝันหวานตอนกลางวัน กับร้านเค้กที่หรูสุดๆ เป็นร้านเค้กในฝัน(ที่เป็นจริง) ของลิเดียที่ชื่อว่า Cafe Reverie ซึงแปลว่า ฝันกลางวันนั่นเอง
ลิเดียเป็นนักร้องสาว ที่เสียงดีมากๆคนนึง และไม่ใช่แค่เสียงที่ดีนะ หน้าตาก็ยังดีอีกด้วย แถมยังมีสามีสุดหล่อแสนดีอย่างแมทธิวด้วย กริ๊ดด คือสวย รวยและเก่งมากกกก เค้าลงทุนไปเรียนทำขนมมาด้วยตัวเอง จะจ้างเชฟก็ได้แต่ไม่ทำ เก๋ค่ะ
ทั้งไอเดียเรื่องขนมและร้านก็มาจากตัวลิเดียเอง ซึ่งก็สะท้อนความเป็นตัวเองได้ดีมากๆ เพราะร้านน่ารักดูเหมือนบรรยากาศเจ้าหญิงในเทพนิยายจริงๆค่ะ
ร้านนี้มาง่ายสำหรับคนท้องที่ แต่ยากมากเลยอ่ะสำหรับเรา เกือบหลงแหนะ แต่ไม่ค้องห่วงนะ เราวาดแผนที่ให้แล้ว
(ฮ๊าา งงกว่าเดิม ) งั้นก็ปักหมุดสิ (อะไรนะ ปักหมุดไม่เป็น) งั้นเด๋วอธิบายให้ฟัง ก่อนอื่นเข้าซอยลาดพร้าว 71 ให้ได้ก่อน ตรงมาเรื่อยๆจนเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้าย แล้วตรงขึ้นมาเรื่อยๆจนเจอป้ายที่เขียนว่า นาคนิวาสพร้อมลูกศรให้เลี้ยวขวา ก็เลี้ยวขวาตามป้าย แล้วก็ตรงตามทาง ยาวๆเลยนะทีนี้ สังเกตุซ้ายมือจะเป็นซอย นาคนิวาส 63 แสดงว่าใกล้ถึงแล้วนะ จะเจอแยก ให้ตรงขึ้นมาเลยแยกมานิดนึง สังเกตุซ้ายมือ จะเจอป้ายร้านใหญ่ๆสีแดง เขียนว่า reverie หรือดูว่าเป็นค่ายมวยก็ได้นะ จะมีรูปปั้นนักมวยยืนเด่นอยู่เลยล่ะ เราก็ขับรถมาจอดหน้าร้านแบบเกร๋ๆ (เมื้อกี้เลยไปกลับรถมารอบนึงแล้ว)
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่คนก็ไม่เยอะมากค่ะ นึกว่าต้องรอนาน งั้นไปรีวิวกันเลยค่ะ ><
มีรูปปั้นนักมวยอยู่หน้าค่ายมวย คงสิทธา ของแมทธิว นั่นเองค่ะ มองจากถนนก็พอหาง่ายขึ้น
ร้านนี้ทำเป็นเรือนกระจกสีขาว ดูแล้วนึกถึง Alice in wonder land มากๆ
ด้วยการปูพื้นหญ้าเป็นรูปตารางหมากรุก ประตูทางเข้าก็เป็นรูปหนังสือนิทาน
อย่างกับว่าเป็นการเปิดประตูสู่โลกแห่งจินตนาการยังไงยังงั้นเลยอ่ะ
เราชอบอ่ะ ร้านเค้ก reverie ที่สวยหรู อยู่คู่ค่ายมวยที่แข็งแกร่ง เหมือนความต่างที่ลงตัว เหมือนโฉมงามกับเจ้าชายอสูร เหมือนซินเดอเรล่ากับชายผู้สูงศักดิ์ เหมือนความรักที่ไม่มีแบบแผน (เฮ่ยยย...เท่อ่ะ)
พอเราผ่านประตูสู่จินตนาการเข้ามาแล้ว
เราจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในเพชรเม็ดโต เพราะว่าทุกอย่างดูใส และโปร่งแสงไปซะหมด จนเหมือนว่าเรากำลังฝันอยู่จริงๆ มองไปเห็น เก้าอี้ที่ทำมาจากร้องเท้าแก้วของซินเดอเรล่า โซฟาที่ดูเหมือนม้าหมุน ถ้าเข้าห้องน้ำก็อย่าลืมไปถามกระจกวิเศษด้วยนะว่าใครสวยที่สุดในปัฐพี (เรานี่ไง)
เราเดินไปเลือกเค้กโดยที่วางเค้กก็เก๋มาก เป็นแบบปล่อยความเย็นขึ้นมา แล้วเอาที่ครอบกุหลาบแห่งรักแท้ของเจ้าชายอสูรมาครอบเค้กไว้ด้วย (หวังว่าเจ้าชายจะไม่ว่านะเจ้าคะ)
ณ ที่แห่งนี้เราจะพบกลิ่นอายของ เทพนิยาย กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ในขนม! เพราะว่าชื่อเค้กแต่ละชนิดก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายนี่ล่ะ ที่ดังๆก็จะเป็นเค้ก peter pandanของ peter pan แต่วันนี้หมดเราเลยอดไปตามระเบียบ
แต่ก็ได้ Knight in Shining Armor มาแทน ชิ้นละ 175 บาท
ตัวนี้เป็นเค้กที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัศวินรูปงาม โดยใช้บราวนี่เป็นฐานแล้วก็มีบลอนด์ช็อกโกแลตอยู่ด้านบน (blonde chcolate เป็นไวท์ช็อกโกแลตที่เกิดจากความผิดพลาดของเชฟคนนึง เกิดเผลอทิ้งเจ้าไวท์ช็อกโกแลต ไว้บน เบนมารี นานมากจนเปลี่ยนเป็นสีบลอนด์กลายเป็นการทำคาราเมลจากไวท์ช็อกโกแลตไปโดยปริยาย แล้วกลายเป็นว่าอร่อยอีก เพราะจะหวานเบาๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆจากช็อกโกแลตที่ไหม้ ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดเป็นช็อกโกแลตบลอนด์ที่รู้จักกันในวงกว้างนั่นเอง)
แล้วเคลือบด้วยเสื้อเกราะช็อกโกแลตอัลมอนด์ ก่อนจะสวมหมวก มาสคาโปนชีส และถือดาบช็อกโกแลตเส้นบางๆ ก่อนจะเคลื่อนทัพมาบนโต๊ะให้เราชำแหละเอ๊ย ชื่นชม
เค้กช็อกโกแลตชิ้นนี้อาจจะตัวเล็กไปหน่อย ไม่ได้กำยำบึกบึนอย่างที่คิด กินแล้วให้อารมณ์ช็อกโกแลตบาร์ มากกว่าจะเป็นช็อกโกแลตเค้ก ตัวช็อกโกแลตบลอนด์ค่อนข้างเบาบางไปนิดนึง แต่โดยรวมถือว่าอร่อยค่ะ
ช็อกโกแลตที่นำมาทำค่อนข้างดี มีอัลมอนด์ให้เคี้ยวเพลิน กินแล้วคิดถึงไอติมแมกนั่มเลย ส่วนมาสคาโปนชีสด้านบน เราคิดว่าเป็นวิปครีมซะอีกตอนแรก คือไม่ค่อยมีความเป็นชีสเท่าไหร่ แอบเห็นเม็ดวานิลลานิดนึงด้วย เลยคิดว่าน่าจะหอมได้มากกว่านี้
นอกจากนี้ก็มี tresure chesnut เป็นเค้กเกาลัดมหาสมบัติ ชิ้นละ 170 บาท
ให้อารมณ์เหมือน กล่องสมบัติที่มีความลับซ่อนอยู่
เค้กตัวนี้รสชาติค่อนข้างเข้มข้นค่ะ มีกลิ่นหอมของครีมเบาๆ แต่ว่าไม่ใช่กลิ่นเกาลัดนะ กลิ่นเหมือนจะเป็นนมก็ไม่ใช่ เนยก็ไม่เชิง เราไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นอะไรกันแน่ แต่ช่างเหอะ คือพอกินแล้วเราจะได้กลิ่นหอมของอะไรสักอย่างนั่นแหละ ผสมปนเปกับความหวานเล็กๆของครีม ที่แอบมีความมันนิดๆเค็มหน่อยๆจากแครกเกอร์ทีอยู่เป็นฐานด้านล่าง สมชื่อ กล่องสมบัติมากๆค่ะ
รสชาติมันดูมีมนต์ขลัง ทุกอย่างผสมปนเป แต่ก็เข้ากันดี แต่คงเพราะว่าเค้กตัวนี้ชื่อเค้กเกาลัดมหาสมบัติ (55 อย่าแปลเป็นไทยเลยดีกว่าเนอะ) เลยคาดหวังว่าพอเปิดกล่องออกมาแล้วจะได้รับเกาลัดมาเป็นกอบเป็นกำงี้ พอเปิดออกมาแล้วไม่เจอความเป็นเกาลัดอย่างที่คิดไว้ เลยผิดหวังนิดหน่อย
แต่ว่าถ้ากินโดยไม่ถือสาว่ากำลังกินเค้กเกาลัดอยู่ ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยแหละ รสชาติกินเพลินมากๆ เสียดายที่ชิ้นเล็กไปหน่อย จะกินเพลินมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวหมดเร็ว
สุดท้ายก่อนเราจะอ่านหนังสือนิทานเล่มนี้จบ เราสั่งกาแฟมากินทิ้งท้ายด้วยหนึ่งแก้ว คาปูชิโน่เย็นนั่นเอง
เสริ์ฟมาในแก้วใบใส พร้อมฟองนมนุ่มๆ เราคิดว่ากาแฟก็เหมือนหนังสือนิทานเล่มหนึ่งนะ
ที่เราเห็นว่าแสนสนุกนั้นกว่าจะได้ออกมาแต่ละหน้า แต่ละตอน ก็ต้องผ่านกระบวนการมากมายหลายอย่าง ก็เหมือนกาแฟแหละ กว่าจะได้กาแฟอร่อยๆ สักแก้วนึง ก็ต้องผ่านกระบวนการมากมายหลายอย่างเหมือนกัน ตั้งแต่เมล็ดกาแฟ วิธีชง สูตร จนไปถึงคนชงกาแฟ และแม้กระทั่งคนกินกาแฟด้วยซ้ำ เพราะว่าต่างคนกินก็ต่างรสชาติ ลิ้นเราไม่เหมือนกันนี่เนอะ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ก็ค่อนข้างเป็นมาตรฐานนะ ว่ามันมักจะมีเส้นบางๆกั้นระหว่าง กาแฟที่เข้ม กับกาแฟที่เบริ์น กาแฟรสขม กับกาแฟรสเฝื่อน เวลากดน้ำกาแฟด้วยเครื่องชงถ้าออกแรงมากเกินไปนิด รสชาติกาแฟก็เบริ์นได้โดยง่าย กาแฟเข้มได้ ขมได้เล็กน้อย แต่มันต้องไม่เบริ์น เพราะกาแฟเบริ์นมันจะเลยคำว่าขมออกไปกลายเป็นเฝื่อนไปเลย เราว่าเค้าออกแรงกดกาแฟเยอะไปหน่อย มันเลยรสชาติค่อนข้างเฝื่อน ถึงจะได้กลิ่นหอมของกาแฟเล็กน้อย พอให้รู้ว่าเมล็ดกาแฟค่อนข้างดีก็เถอะ แต่ก็อย่างที่พูดไว้แต่แรก ว่าความชอบกาแฟของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ คงต้องลองกันเองค่ะ
กะลังฝันกลางวันอยู่ดีๆ พอบิลเก็บเงินมา ปั๊งงงง!!!!! กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงทันที ก็ราคาเค้กที่เราว่าก็สูงอยู่แล้วน๊า ห๊ะ !! มีเพิ่ม vat และservice charge ด้วย ทำให้เรารู้สึกว่าราคากับปริมาณและรสชาติยังไม่สมดุลเท่าไหร่ค่ะ ชิ้นนึงนี่ 200 บาทเลยนะคะแบบนี้
ความฝันอันบรรเจิดเลยแตกโป๊ะ รีบหยิบปากกาติ๊กลดคะแนนความคุ้มค่าของราคาและขนาดขนมลงไปอีกนิด เพราะเราว่าถ้าเอาให้ฝันหวานเจี๊ยบเลยนะ ขนาดเค้กต้องเพิ่มอีกนิด ราคาต้องลงอีกหน่อย เราว่ามันจะโอเคมากๆและเราคงฝันกลางวันได้นานตราบนานเท่านาน อิอิ
สรุปเราว่าเทคนิคการทำ รูปแบบขนม รสชาติ คือโอเค และต้องชื่นชมความพยายามของลิเดียนะคะ ถือว่าทำได้ดี คือทำขนมให้ออกมาได้ดี ไม่ใช่ว่าแค่พอทำได้แล้วก็ทำออกมาขายแบบที่หลายๆคนในยุคนี้ทำ แต่ขนมของ Cafe Reverie มีมาตรฐานที่โอเคผ่านค่ะ อันนี้ก็ขอชื่นชม
ส่วนของความคุ้มค่า บางคนอาจจะบอกว่า เค้กแต่งร้านหรู ราคาต้องแพง ราคาพื้นที่ ราคาลงทุนก่อสร้าง ของตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ ราคาวัตถุดิบ บลา บลา ซึ่งมีหลายคนพร้อมจะจ่าย มันก็อาจจะจริง แต่ความเห็นส่วนตัวเรา ความคุ้มค่าไม่ได้แปลว่าราคาสูงแล้วจะติอย่างเดียว แต่แปลว่าเมื่อบวกลบคูณหารราคาและคุณภาพแล้วคุ้มค่ามั้ย คำตอบเรากับขนมและกาแฟที่ Cafe Reverie คือยังไม่รู้สึกแบบนั้นเต็มร้อยค่ะ แต่เชียร์และชื่นชมความตั้งใจในการหัดทำขนมของลิเดียมาก ถือว่าเริ่มต้นดีแล้ว
และนิทานเรื่องนี้ก็ยังเพิ่งจะเริ่มต้น ไม่แน่ตอนท้ายอาจจะ happy ending กว่านี้ก็ได้ค่ะ