Agalico no time frame ไร้ซึ่งกาลเวลา ณ อกาลิโก มันช่างสงบแท้
มีคนเคยบอกไว้ว่า เวลาคือของที่มีค่าที่สุด เราควรใช้มันอย่างคุ้มค่า จงใช้เวลาเพื่อหาความสุข
บ่อยครั้งที่เราอยากหยุดเวลาไว้ หรืออย่างน้อยก็ให้เวลาหมุนช้าลง เผื่อจะเจอความสุขเร็วขึ้น และการอยู่ในเมืองที่วุ่นวายอันดับต้นๆของโลก อย่างกรุงเทพฯ ก็เป็นอะไรที่เร่งรีบเกินกว่าจะคิดถึงเรื่องเวลา และความสุข จนบางครั้งเราก็ลืมที่จะอยู่กับตัวเอง
วันนี้เราจะไม่คิดถึงเรื่องเวลา ไม่มีการดูนาฬิกา ปิดมือถือแล้วอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ที่อกาลิโก ที่ๆไร้ซึ่งกาลเวลา....สถานี BTS ทองหล่อ ทางออกที่1 ในซอยสุขุมวิท 51 มองทางขวาไว้นะคะ จะเจอตึกสีขาวเรียบๆที่เขียนว่า บุญจิราธร นั่นล่ะค่ะคือตึกแห่งความสุขที่เราจะพามาหยุดเวลา ตึกนี้มีที่กว้างพอสำหรับจอดรถได้ประมาณ 7-8 คัน สบายๆ
ภายนอกที่ดูเหมือนตึกธรรมดาทั่วๆไป แต่ทันทีที่ประตูกระจกถูกเปิดออก เวลาก็เหมือนจะถูกตรึงไว้จริงๆ เข็มนาฬิกาที่หยุดนิ่ง ราวกับเจอหญิงงามอยู่ตรงหน้า เธอคนนี้สูงโปร่ง ผิวขาวราวกับสำลีแล้วยังเนียนละเอียดยังกับปุยนุ่น ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว กำลังชวนคุณมาจิบน้ำชายามบ่าย แล้วจะปฏิเสธได้หรอ? ขนาดที่ว่าเป็นผู้หญิงด้วยกันยังปฏิเสธไม่ได้ ไม่สิ โดยเฉพาะผู้หญิงเลยล่ะที่จะตกหลุมรัก และเป็นแบบรักแรกพบซะด้วย ดูได้จากลูกค้าส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิง
ความหรูหราสไตล์ตะวันตก ที่แอบซ่อนความเป็นไทยแบบผู้ดีไว้อย่างแนบเนียน เฟอร์นิเจอร์สีขาวที่ช่วยให้ห้องที่กว้างอยู่แล้วยิ่งดูกว้างขวางมากเข้าไปอีก กับเพดานสูงโปร่งที่สร้างความโออ่าให้ห้องนี้ดูหรูหราเป็นทวีคูณ ซึ่งเพดานนี้ก็สูงมากพอที่จะสร้างชั้นลอยเพื่อเพิ่มเนื้อที่ในการจิบชามากเข้าไปอีก ภายในที่ว่ากว้างแล้ว กลับดูกว้างกว่า เมื่ออยู่ในสวน เดินผ่านกระจกบานใสออกไปจะพบกับสวนหย่อม ขนาดย่อมๆที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้สีเขียวดูแล้วสบายตา นั่งแล้วรู้สึกสบายใจ รูปปั้นต่างๆที่เข้ากันได้ดี กับซุ้มสีขาวที่เด่นสง่าอยู่กลางสวนสวย ที่รายล้อมด้วยต้นไม้นานาพรรณ สงบร่มเย็นจนรู้สึกอยากกินเค้กขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เราพาร่างน้อยๆเข้ามาข้างในอีกครั้ง เฟอร์นิเจอร์สีขาวช่วยทำให้ร้านดูหรูหราและน่านั่งชิวเป็นที่สุด
แล้วสายตาพลันไปพบกับเค้กที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะ ในถาดแก้วสีใสใบสวย
บนเคาเตอร์สีขาวใต้ชั้นลอย...กระทะ หม้อ ไหและเครื่องครัวสีทองแดง ห้อยลงมาอย่างเป็นระเบียบอยู่เหนือเคาเตอร์ตัวนี้ ดูแล้วให้ความรู้สึกอยากจะจับกะทะเข้าครัวดูสักครั้งเหมือนกันนะเนี่ย ข้างๆกันมีชาหลากชนิด หลายแบบให้เลือกมากมาย หรือจะสั่งเป็นกาแฟสดก็มีเหมือนกัน
เพื่อไม่ให้ที่นี่ดูขาวบริสุทธิ์เกินไปนัก วันนี้เราขอเลือก เครปเค้กช็อกโกแลต ทานคู่กับโกโก้เย็นๆสักแก้ว เห็นสีขาวๆแล้วนึกอยากใช้ความเข้มของช็อกโกแลตมาทำให้เปรอะเปื้อนบ้าง หลังจากอินกับบรรยากาศซะนาน เครปเค้กช็อกโกแลต(120บาท) ก็มาเสริ์ฟในที่สุด
ซอสช็อกโกแลตถูกบรรจงเทลงมาเป็นสาย
ราวกับน้ำตกน้อยๆ ผ่านเครปช็อกโกแลตที่เรียงตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่า
ส้อมตัดผ่านน้ำตกสายนี้ทีละชั้นๆ แค่เพียงเนื้อเครปจะนิ่มอีกสักหน่อย
คงได้เพลิดเพลินกว่านี้ กับครีมที่น่าจะหนากว่านี้อีกสักนิด
จะได้ไม่รู้สึกเหมือนกินเพียงแผ่นเครปที่ไม่ค่อยได้รสชาติเท่าไหร่
กับซอสช็อกโกแลตที่ราดไปนั้นถ้าให้มาเยอะกว่านี้คงดีไม่น้อยเลยเชียว
บางครั้งข้าวไข่เจียวก็ต้องการซุปมาซดให้คล่องคอมากขึ้น
เหมือนกับเครปเค้กที่ว่าอร่อยยังต้องการซอสมาราดให้ชุ่มๆยังไงยังงั้นเลยเชียว
เมื่อเห็นราคาแล้วบอกตรงๆ เราคาดหวังถึงอะไรที่เป็นสุดยอดช็อกโกแลต กล้าตั้งราคาขนาดนี้ แสดงว่าไม่ธรรมดา แต่แล้วเราก็ค้นพบว่าโกโก้ที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เหมือนที่อื่นด้วย ไม่รู้จริงๆว่าทำไมรสชาติมันแปลกๆ เหมือนจะอร่อยแต่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก แบบว่า ข้นคลักแต่ว่าไม่เข้มข้น อารมณ์คล้ายๆใช้หลอดดูดคัสตาร์ดครีมในเอแคลร์ แต่รสชาติเหมือนกินนมช็อกโกแลตแบบหวานน้อยที่เบาบางหน่อยๆสรุปคือ โกโก้แก้วนี้ก็กินได้แบบเรื่อยๆ ค่อยๆกินก็พอได้อยู่ แค่แอบคิดว่าไม่ค่อยคุ้มราคาเท่าไหร่อ่ะค่ะ
ในการมาครั้งนี้ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า มีราคาเสมอ เรียกได้ว่าเรามาซื้อเวลาพักผ่อนหย่อนใจมากกว่าที่จะมาซื้อขนม เราซื้อเวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง ซื้อความสุขที่ได้เห็นความงดงามของสถานที่ นี่คงเป็นเหตุผลที่มากเพียงพอที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าปกติ เพียงเพราะเวลาเป็นสิ่งมีค่า และถ้าจะถามว่าที่นี่สวยพอให้ยอมเสียเงินเพื่อจะลืมเวลามั้ยล่ะก็ คงมีแต่คุณเท่านั้นที่ตอบได้
แต่สำหรับเราบอกได้เพียงว่า มีเงินตรา ก็มีเวลาดีๆ ณ อกาลิโก