ซอกสงบในเมืองจอแจ ที่ร้าน coffee undici ซอย 11 นี่เอง

07:31:00 bakegazine 0 Comments


Ciao !! แหะๆ ขอทักทายเป็นภาษาอิตาเลี่ยนหน่อยนะคะ 55 จะได้เข้ากับร้านที่เราจะพาไปรีวิวในวันนี้
เสียงจอแจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว และถนนนั้นเต็มไปด้วยรถยนต์ที่จอดนิ่งอยู่กับที่มาเนิ่นนาน นอกจากจะไม่มีท่าทางว่าจะขยับเขยื้อนไปไหนได้แล้ว ยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกด้วย มีก็เพียงแต่มอเตอร์ไซค์เท่านั้นที่เล็กพอจะลัดเลาะ ปาดซ้ายทีขวาทีได้อย่างใจ และถ้าถนนเหล่านั้นคับแคบเกินไปก็สามารถขึ้นมาขับบนฟุตบาทได้อย่างอิสระอีกด้วย ทำให้เราซึ่งเดินอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กลายเป็นตัวเกะกะได้ในฉับพลัน มอเตอร์ไซค์คันแล้วคันเล่า ต่างก็เบียดเสียดเฉียดตัวเราไปอย่างน่าหวาดเสียว ในที่สุดเราก็ทนต่อไปอีกไม่ไหว!!! หายใจเข้าให้ลึกๆลึกที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนนึงจะทำได้ แล้วตัดสินใจพาตัวเองเลี้ยวเข้าไปในซอยๆนึงทันที (คงไม่คิดว่าเราจะไปทำอะไรเค้าใช่มั้ยคะ)


ที่จริงแล้วซอยนี้คือซอยที่เราตั้งใจจะมาร้านกาแฟร้านนึง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอซะที แล้วพลันสายตาก็ไปเจอกับร้านๆนึง ซึ่งอาจดูไม่เด่นสะดุดตา แต่น่านั่งอย่างที่สุด ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 11 ค่ะ เดินเข้ามานิดเดียวร้านอยู่ด้านขวามือค่ะ ร้านนี้มีชื่อเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า "CAFE UNDICI" เป็นชื่อที่เรียบง่าย แต่มีลูกเล่นสมกับการตกแต่งร้านจริงๆค่ะเพราะชื่อของร้านนี้แปลว่า "11" ซึ่งน่าจะมาจากซอยพหลโยธิน 11 นั่นเองค่ะ


เป็นร้านกาแฟร้านเล็กๆ แต่ราคาก็ไม่เล็กๆตามร้านเท่าไหร่เลยนะคะ


และทันทีที่เราผ่านประตูบานเล็กๆเข้าไปนั้น ราวกับเป็นคนละโลกกับภายนอกเลยทีเดียว เป็นร้านเล็กๆที่จัดสรรปันส่วนกับพื้นที่ ที่มีจำกัดได้อย่างลงตัวมากๆเลยล่ะค่ะ ร้านกาแฟที่แทรกตัวอยู่ใต้คอนโดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างแยกไม่ออก ร้านตกแต่งสไตล์ retro classic เรียบง่าย แต่เก๋ไก๋แถมยังมีความคิดสร้างสรรค์ จับโน่นผสมนี่ได้อย่างคาดไม่ถึงอีกด้วย
 

ผนังที่ตกแต่งอย่างเต็ม(พื้น)ที่ ดูแล้วรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะค่ะ


 

ด้านในมีโซฟาหนานุ่ม ที่ใช้วอลเปเปอร์รูปวิวเป็นพื้นหลัง ทำให้ดูเหมือนว่าอยู่บนคอนโดสูงเสียดฟ้า มองแล้วให้ความรู้สึกอยากนั่งจิบชาเงียบๆ แล้วมองวิวเพลินๆ กินเค้กไปพลางๆ (อยากอยู่คอนโดจัง)


ขนมเค้กในตู้ต่างมองเราอย่างเขินอาย หลังจากที่เราทั้งจดและจ้องอยู่นานสองนาน จนพนักงาน(ที่มองเราต่ออีกทอดนึง)เริ่มทนไม่ได้จนต้องแนะนำ ขนมวาฟเฟิลที่เสริ์ฟพร้อมไอศครีมลูกโตและผลไม้สดเคียงคู่กันให้มาเป็นทางเลือกอีกทาง โดยไม่ลืมบอกด้วยว่าเป็น signature ของทางร้านค่ะ

ทันทีที่เค้าพูดว่า "signature" เราก็หันไปมองพี่พนักงานด้วยท่าทางสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ พร้อมร้อยยิ้มที่พี่เค้าก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน

"ขอ mixberry chesse cake ชิ้นนึงค่ะ" (105 บาท)

 

ต้องขอโทษพี่คนนั้นอย่างสุดซึ้งมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะที่ไม่ได้สั่งวาฟเฟิล กับไอติมที่มาพร้อมกับผลไม้สด ซึ่งเป็น signature ของร้าน(พี่เค้าอุตส่าห์เชียร์อ่ะนะ) เพราะเค้กชิ้นนี้ดูน่ากินกว่าเป็นไหนๆ

ฐานล่างทำเป็นพายค่ะถัดมาเป็นชีสเค้ก ที่ผสมเบอร์รี่แบบต่างๆไว้ข้างใน เวลาจะกินก็ราดซอส strawberry อย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะแบบและแนวเดียวกับที่กินคู่เครปเค้กเป๊ะๆ รสชาติก็คล้ายๆแบบนั้นเลยค่ะ


ถ้าใครชอบกินโยเกริ์ตล่ะก็ บอกได้เลยว่าชอบเค้กชิ้นนี้แน่ๆค่ะ เพราะว่ากลิ่นโยเกิร์ตนั้นโดดเด่นมากทีเดียว (จะว่าไปแล้วโดดเด่นกว่าพระเอกอย่างชีส ซะอีกนะเนีย) เป็นชีสเค้กที่เนื้อเนียนแต่ไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ค่ะ (คิดว่าน่าจะเกิดจากโยเกิร์ต) แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังได้กลิ่นเนยของตัวพายที่อยู่ด้านล่างส่งกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ในลำคอนิดๆ ในส่วนของซอส ที่คิดว่าน่าจะเป็นซอส strawberry นะคะ มีรสเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ ไปด้วยกันได้ดีกับตัวชีสที่ถึงจะอ่อนชีสไปนิดนึง แต่ก็ตัดเลี่ยนได้ดีค่ะ แล้วเราจะได้รับรสเปรี้ยวๆอีกนิดนึงตรงเหล่าเบอร์รี่ทั้งหลายที่ซ่อนตัวอยู่ในชีสข้างล่างนี่แหละ โดยรวมแล้วเค้กชิ้นนี้อาจจะไม่ได้อร่อยเว่อร์ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเค้กที่กินได้เรื่อยๆค่ะ


เครื่องดื่มสำหรับวันนี้เป็น cafe whitechoc hazelnut (105บาท)แก้วนี้ล่ะค่ะ
เป็นกาแฟอ่อนๆ ที่ไม่ค่อยได้กลิ่น whitechoc เท่าไหร่ค่ะ ส่วน hazelnut นั้นเหมือนไม่ได้ใส่เลยอ่ะค่ะ
เราว่าถ้ากาแฟแก้วนี้เข้มข้นกว่านี้อีกสักนิด หรือว่าผสม whitechoc ให้เรามากกว่านี้อีกสักหน่อย ถึงจะไม่มีกลิ่น hazelnut ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ


ถ้าใครกำลังมองหาร้านกาแฟชิวๆ สบายๆล่ะก็ ที่นี่แหละเหมาะที่สุด ไฟสีส้มสลัวๆกับแสงแดดอ่อนๆ ที่เข้ามาทางหน้าต่างนั้นทำให้เกิดแสงที่เหมาะกับการอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญที่นี่มีหนังสือนิตยสารน่าอ่านเพียบ แอร์ที่ไม่เย็นแล้วก็ไม่ร้อนจนเกินไป แล้วก็เปิดเพลงคลาสสิคที่ร้องแบบงึมงำเล็กๆแต่เป็นเพลงที่เหมาะกับร้านกาแฟเป็นที่สุดเลยล่ะค่ะ (สำหรับเรานะ) เพลงที่ฟังเท่าไหร่ก็ฟังไม่ออกแบบนี้แหละทำให้ไม่ต้องคิดอะไรมากมายดี เมื่อร่างกายสบายแล้ว จิตใจก็สบายไปด้วย

และเมื่อชาร์ตแบ็ตเต็มแล้วก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายร้านกาแฟที่สุดแสนจะคลาสสิคแห่งนี้ แต่ไม่ได้ลาขาดแต่อย่างใดนะคะ ^^ ไว้วันไหนว่างๆ อยากนั่งพักสบายๆ แล้วบังเอิญผ่านมาแถวนี้

เราคงได้เจอกันอีก coffee undici.....ci vediamo