Sometimes กาลครั้งหนึ่งที่เวลาและมนตรา ค้นป่าเสาะหาขนม
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนครับว่ารีวิวนี้เขียนนานแล้ว อาจจะซัก 2 - 3 ปีที่แล้ว ถึงใช้คำว่า
กาลครั้งหนึ่งนะครับ
ส่วนรีวิวที่ร่วมสมัยขึ้นมาอีกนิดหาอ่านได้ในรีวิวตอน 2 นะครับ
ผมชอบชื่อร้านนะครับ เหมือนกับว่าเมื่อคุณมี some times คุณควรเอาเวลานั้นมาที่ Sometime' s ที่ซึ่งมีสโลแกนเลิศหรูว่า เวลา และมนตรา รวมทั้งมีสัญลักษณ์สุดคลาสสิคเป็นนกฮูกที่ดูน่าค้นหายิ่งนัก บรรยากาศก็เข้าขั้นเมพขิงๆ ไฟสลัวๆบรรยากาศแบบที่เรามักอ่านเจอแต่ในเทพนิยาย ทุกอย่างดั่งต้องเวทย์มนตร์และปราสาทย่อส่วนแห่งนี้ก็มาตั้งให้พวกเราแวะชมแวะชิมขนมและเครื่องดื่มแล้วที่ ซอยสุขมวิท 71 ตั้งอยู่ระหว่างซอยปรีดีฯ 38 และ 40 จริงๆแล้วอยู่ติดถนนนะครับ แต่พวกเราขับผ่านหลายรอบมากก็หาไม่เจอ
.....พนันได้เลยว่าอาจจะมีโดนมนตราอะไรบางอย่างของ Sometime' s รึเปล่า
ผมและสองสาวอาสาบุกปราสาทหลังงามนี้ ที่ไม่มีอสูรกายร่างยักษ์คอยคำรามอยู่ข้างใน หากแต่เป็นขนมเค้กและเครื่องดื่มสารพัดอย่างที่รอเราอยู่ บรรยากาศภายในดูน่ากลัวเต็มไปด้วยไฟสลัวๆ ต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุมราวกับในนิทาน แต่โดยรวมแอบสะสวยและตกแต่งแบบจัดให้จัดเต็มกันไปข้าง ของสะสมถูกละเลงตามชั้นวางที่ยาวราวกับกำแพงเมืองจีน ต้นไม้สวยๆ กิ่งไม้แห้ง กรงนกหรูๆ นกฮูก และภาพวาดมีอยู่เต็มผนังและเพดาน
และสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่อยู่หลังตู้เค้กขนาดใหญ่ก็คือพนักงานสาวสวย 2 คนที่ดูยังไงๆก็ไม่คล้ายแม่มดซักกะนิด นอกจากสวยแล้วยังอัธยาศัยงาม และคอยถามว่าพวกเธอจะช่วยอะไรเราได้บ้าง ซึ่งแน่นอนเราต้องการขนมและเครื่องดื่มที่สุดอลังการ (ในราคาย่อมเยา) เพื่อประกอบการพักผ่อนที่สุดแสนโรแมนติกในปราสาทงามที่แสนสงบหากแต่ตั้งอยู่ในเมืองที่แสนจะอึกทึกอย่างกรุงเทพมหานครแห่งนี้
และเพื่อที่จะกระชับรีวิวให้กระทัดรัดยิ่งขึ้น ผมจะแบ่งความสนใจออกเป็น 2 ส่วน หนึ่ง เมื่อเรามี some times เราควรเอาเวลานั้นมาที่ Sometime 's มั้ย
และ สอง มีมนตราอะไรอยู่ที่ Sometime 's ดังสโลแกนของร้าน
และนี่คือทิวทรรศน์บางส่วนของ Sometime 's มีให้ดูเพลินๆกันก่อนครับ
ส่วนเคานเตอร์สั่งขนมและเครื่องดื่ม การตกแต่งเต็มไปด้วยรายละเอียดและพร็อพแบบจัดเต็ม
มีมุมชั้นหนังสือที่อุตส่าห์มีกรงนกให้ดูน่ารักขึ้นเป็นกอง
มีมุมอ่านหนังสือเป็นส่วนตัว เอาขนมและเครื่องดื่มมานั่งทานได้ ผ่อนคลายกันแบบสุดๆ
เอาล่ะ !! ถึงเวลาของขนมและเครื่องดื่มซะทีสินะ เราสั่งขนมมา 2 ชิ้น และเครื่องดื่มอีก 2 แก้ว
ซึ่งประกอบไปด้วย บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก 95 บาท ราสเบอร์รี่ชีสเค้ก 90 บาท Strawberry Latte 69 บาท และ Apple Tea ชารสแอ๊ปเปิ้ล 60 บาท ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าถ่ายมาได้รูปเดียวนี้ครับ เวลาอ่านก็คอยกดขึ้นมาดูรูปด้วยนะครับ ประหยัดพื้นที่ไปได้เยอะ ช่วยลดโลกร้อนด้วย
เราจะจัดการกันไปทีละตัวแล้วกันนะครับ อุปกรณ์ก็มีมีด ส้อม ผมก็พร้อม สองสาวนี่ยิ่งกว่าพร้อม และพวกเธอก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงมีปัญญาถ่ายขนมพวกนี้มาได้แค่รูปเดียว
เอ้า !! เข้าสู่การชำแหละซะที อย่าลืมนึกภาพตามและคอยกดขึ้นไปดูรูปด้วยครับ (ย้ำจริ๊งง)
เริ่มจาก บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก มัน....ก็ อร่อยในแบบที่เราก็รู้ว่ามันเป็นยังไงอ่ะนะครับ นี่ไม่ได้เล่นลิ้นอะไร ก็เค้กแบบนี้ก็คือเค้กที่คุณก็รู้ว่าใคร เอ้ย เป็นยังไง และมันก็ไม่มีความแตกต่างกับบลูเบอร์รี่ชีสเค้กร้านอื่นๆ แต่แปลกตรงที่ตัวชีสเบาหวิวเชียว สวนทางกับบลูเบอร์รี่ที่ให้มาล้นเอ่อ ทำให้มวลสารเบากับหนักไม่สมดุลแบบที่มันควรจะเป็น อารมณ์แบบว่ากินแล้วรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป และได้อะไรเกินมา ยังไงก็ไม่รู้ อยากจะเอาส่วนที่เกินไปคืน และขอส่วนที่ขาดมาเติม แต่ไม่มีใครในพวกเรากล้าทำแบบนั้น
ชิ้นต่อไปคือ ราสเบอร์รี่ชีส อันนี้ชีสเนื้อแน่นปั๊ก ดูจากรูปไม่ค่อยเหมือนจะเป็นแบบนั้น มันซ่อนรูปครับ อย่ามองคนแค่ภายนอก ดูเผินๆเหมือนเนื้อจะเบาแต่ที่จริงหนัก และที่แปลกคือเนื้อแน่นแต่กลิ่นชีสเบา เสมือนตดเสียงดังแต่ไม่มีกลิ่น ส่วนราสเบอร์รี่โอเคดีแต่เปรี้ยวไปนิดนึง ถามว่าอร่อยรึเปล่า ก็ตอบไม่ค่อยถูก แต่ถามว่าท้อมั้ย ต้องตอบเลยว่ามว๊ากก ไอ้บ้า!! ไม่ใช่แล้ว นั่้นมันเพลงพี่เบริด 55
ยังไงดีคืออร่อยแต่ก็ยังไม่สุด (ขนมนะครับไม่ใช่อย่างอื่น) เอาเป็นว่าผมคงไม่แนะนำให้ใคร แต่ถ้าจะมีใครซักคนอยากจะสั่งละก็ผมก็คงไม่ห้ามอีกเช่นกัน
ก่อนจะไปถึงเครื่องดื่ม อยากจะบอกว่าพวกเราค่อนข้างจะสงสัยในรสชาติเค้กที่นี่พอสมควร ฟันธงไม่ถูก และเพื่อให้ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่าง ผมจึงต้องลุกไปสั่งเค้กมาอีกชิ้นนึงเพื่อเป็นกุญแจดอกสำคัญไปสู่การชำแหละรสชาติขนมเพื่อท่านผู้อ่านที่รัก ลงทุนมั้ยฮะ
เราได้ Double chocolate cake 115 บาทชิ้นนี้มา
ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว เค้กที่นี่ค่อนข้างจะใช้เนื้อเค้กเบา และให้น้ำหนักกับตัวซอส ฟิลลิ่ง โค้ดติ้ง หรืออะไรก็ตามอย่างเอ่อล้น ทำให้ความไม่สมดุลมาลดทอนความอร่อยโดยรวม อย่างเช่นเค้กชิ้นนี้ที่เนื้อค่อนข้างเบา แต่ตัวช็อกโกแล็ตกานาชที่เคลือบนั้นหนาและหนัก นี่ยังไม่นับรวมช็อกโกแล็ตขูดที่ให้มาเต็มที่นะครับ
ต่อไปก็ถึงคิวเครื่องดื่ม เอ่อ....กดขึ้นไปดูรูปด้วยครับ
Strawberry Latte 69 บาท ผมไม่รู้จริงๆว่า 9 บาทนี่คือค่าอะไร บวกมาจากจุดไหนเป็นพิเศษรึเปล่า ตอนแรกเดาว่า 9 บาทนี่น่าจะเป็นค่านมรสสตรอเบอร์รี่ แต่ดูแล้วถ้าคิดจากสมการนี้ผมว่า นมสตรอเบอร์รี่น่าจะ 60 บาท และ 9 บาทคือค่าช็อตกาแฟ เพราะดูแล้วเน้นไปที่นมมากกว่า ซึ่งก็ให้รสชาติแบบนั้นจริงๆครับ กาแฟอ่อนและนมมีรสชาติที่ชัดเจน 3D ทั้งกลิ่นและรส ซึ่งดันออกมาอร่อยซะงั้น ยังงี้ขอเพิ่ม 5 บาทให้เพิ่มกาแฟได้มั้ยเนี่ย ไอ้บ้า!! ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวจะมาสั่งพิเศษ !!
และก็มาถึง Apple Tea ชารสแอ๊ปเปิ้ล 60 บาท เป็นเครื่องดื่มที่พวกเราชอบกันเพราะรสชากำลังดีและมีกลิ่นแอ๊ปเปิ้ลที่ไม่ได้แอ๊บแต่เปิดเผยรสชาติออกมาแบบล้นทะลัก ความหอมที่เข้ากันดีทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนว่า อย่างน้อยมันก็มีอะไรซักอย่าง ณ ที่นี่ที่พอจะหาจุดสมดุลของมันเจอ และนั่นทำให้พวกเราผ่อนคลาย
หรือว่านี่คือเวทย์มนตร์ของ Sometime 's มิน่าผมแอบเห็นพนักงานเชียร์ให้เราสั่งหลายครั้ง และดูมีท่าทีพอใจเมื่อผมทำตาม
Apple Tea เครื่องดื่มที่ผมอยากแนะนำและมันร่ายเวทย์มนตร์ของมันได้อย่างไร้ที่ติ
พวกเราเคลิ้มไปกับบรรยากาศและชาดีๆกันกว่า 4 ชั่วโมง และรีวิวอันแสนยาวนานก็มาถึงบทสรุปซักที ไอ้ที่ผมบอกว่าจะกระชับพื้นที่เขียนน่ะโม้ทั้งนั้น ก็จะให้ทำยังไงได้ บรรยากาศน่าเขียนถึง พรรณนาได้ไม่มีวันเบื่อจริงๆ
แต่สองข้อที่ผมตั้งประเด็นไว้ มีคำตอบมาให้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความเห็นผมคนเดียวนะครับ ข้อแรก พวกเราเห็นตรงกันว่า ถ้าคุณมี some times คุณควรมาที่ Sometime 's เพื่อสั่งชาดีๆซัก 2 - 3 แก้ว และถ้าอยากได้ขนมด้วยก็ไม่ว่ากัน ที่สำคัญคือใช้เวลาให้คุ้มค่า เพราะที่นี่มีสโลแกนว่า เวลาและมนตรา คือให้เอาเวลาว่างที่คุณมีมาโดนมนตราที่ร้านเค้า
ส่วนข้อ 2 ที่ว่า มีมนตราอะไรที่นี่ นอกจากชารสดีๆที่ร่ายเวทย์ใส่พวกเราเป็นระลอกๆแล้ว บรรยากาศก็ดั่งต้องมนตร์ซะอีก คิดดูว่าพวกเราอยู่ที่นี่ 4 ชั่วโมง แต่ไม่มีใครอยากออกไปไหน หรือทำอะไรนอกจากถ่ายรูป กินขนม อ่านหนังสือ เหมือนเคลิ้มและถูกสะกดให้อยู่ที่นี่นานๆ ส่วนพนักงานสองสาวจะมีส่วนรู้เห็นหรือทำให้เราเป็นแบบนี้หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าในบางช่วงก็แอบเห็นนกฮูกขยับไปมายุกยิก ต้นไม้เหมือนจะกำลังคุยกับเรา ส่วนตุ๊กตาตัวจิ๋วก็ขยิบตาเล่นเป็นระยะๆ คนเดินผ่านไปผ่านมาที่ถนนข้างนอกเหมือนจะมองพวกเราและพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง....แต่พวกเราไม่ได้ยิน และไม่ใช่แค่ผมนะครับ สองสาวก็ล้วนอยู่ในสภาพเดียวกัน
พวกเราโดนมนตราที่ Sometime ' s เข้าให้แล้วใช่มั้ยครับเนี่ย